ย้อนกลับ
SHARE

เกี่ยวกับNetflixแอปพลิเคชันดูหนังชื่อดังเบื้องลึก

โพสเมื่อ 27 มิถุนายน 2022, 06:33

Netflix เป็นแอพที่บริการดูภาพยนตร์ออนไลน์แบบสตรีมมิ่ง

 การเลือกดูผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของ Netflix นั้น ลักษณะของบริษัทนี้คล้ายการเช่าหนังแบบเหมาจ่าย โดยมีเรตที่ไม่แพง ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 280 บาท/เดือน ขยับขึ้นมาอีกนิดเป็น 350 บาท/เดือน สามารถดูได้ 2 จอพร้อมกันแบบ HD เลยทีเดียว ส่วนแบบ Premium 420 บาท/เดือน สามารถดูได้ 4 จอพร้อมกัน โดยเราสามารถแบ่งให้คนอื่น ๆ ดูได้อีกด้วย


Netflix เริ่มต้นธุรกิจในปี 1997 โดยคอนเซปต์ก็คือเป็นร้านดีวีดีให้เช่า ในช่วงนั้นมีบริษัทใหญ่อย่าง Blockbuster โด่งดังในตลาดของอเมริกา คอนเซปต์ของ Blockbuster ก็คือเช่าวิดีโอของร้าน เมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนดก็นำไปคืน โดยNetflix พบปัญหาจากการเช่าหนังแผ่นก็คือการลืมเอาไปคืนและทำให้เสียค่าปรับเยอะ Netflix จึงคิดวิธีให้คนเช่าได้ โดยที่ไม่ต้องโดนค่าปรับคือ เช่าแบบเหมาจ่ายรายเดือนและเช่ากี่แผ่นก็ได้ ความคิดนี้ทำให้บริษัทค่อนข้างประสบความสำเร็จ และเอาชนะเจ้าใหญ่อย่าง Blockbusterได้ แม้ในภายหลัง Blockbuster จะพยายามทำบ้าง แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะหรือตามได้ทัน

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ Netflix เป็นCase Study

 ในการยกตัวอย่างคอนเซปต์ของคำว่า Startup ที่สามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน เพราะคอนเซปต์ของ Startup ต้องสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด ซึ่งธุรกิจแบบ SME ไม่สามารถทำได้ เช่น หากเราเป็นธุรกิจร้านตัดผมและอยากที่จะขยายสาขาไปทั่วประเทศไทย อย่างน้อยสิ่งที่ต้องทำก็คือการเปิดสาขาในทุก 77 จังหวัด ซึ่งกว่าจะเปิดได้ครบทุกจังหวัด ธุรกิจแบบ SME อาจต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5 ปี ซึ่งต่างจากธุรกิจแบบ Stratup ที่ต้องเติบโตได้แบบก้าวกระโดดภายใน 1 ปี หรือในกรณีของ Netflix ที่สามารถทำได้ภายในชั่วข้ามคืน ไม่ใช่แค่จากหนึ่งจังหวัดไป 77 จังหวัด แต่จากในอเมริกาขยายไปทั่วโลกเลยทีเดียว


ตอนนั้น Netflix ดังอยู่แล้วในอเมริกา วันหนึ่งอยากขยายฐานสมาชิกในเอเชีย สิ่งที่เขาทำคือประกาศในงาน CES (The Consumer Electronics Show) ซึ่งจัดในลาสเวกัสทุกปี ว่าจากวันนี้เขาจะขยายฐานไปที่เอเชีย และคนในเอเชียสามารถเข้าเว็บไซต์ Netflix และจ่ายเงินในสกุลเงินของประเทศตัวเองได้ หลังจากการประกาศก็เป็นข่าวใหญ่ในเอเชีย แน่นอนว่าตอนนั้นก็มีคู่แข่งมากมาย เช่น iflix


สิ่งที่น่าสนใจคือ Netflix มีบริษัทอยู่ในแคลิฟอร์เนีย แต่สามารถขยายออกไปทั่วโลก และมีมูลค่าบริษัท (Valuation) ในปัจจุบันอยู่ที่ 6 หมื่นล้านเหรียญ มีพนักงาน 3,700 คน ทั่วโลก และที่สำคัญคือ มีจำนวนสมาชิก (Subscribers) เติบโตกว่า 130 ล้านคน ขยายไปทั้งหมด 130 ประเทศทั่วโลก โดยFast Company จัดให้ Netflix เป็นTop 50 The Most Innovative Company หรือบริษัทที่มีนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยม


นอกจากนั้น VP Product innovation ที่ชื่อ Chris Jaffe ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น The Most Creative People in Business ซึ่งสิ่งที่ทำให้ Netflix ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายนั้นก็คือ ใน Netflix มีหนังให้ดูเยอะ แต่ไม่ใช่เฉพาะหนังฮอลลีวูด แต่ยังมีทีวีโชว์, ซีรีส์, คอนเสิร์ต, สารคดี และล่าสุดมี Talk show ที่นำโดย David Ledderman คอมเมเดี้ยนที่โด่งดังมาจัดรายการใน Netflix อีกด้วย


ในช่วงแรก Netflix อยู่ในลักษณะของการซื้อลิขสิทธิ์หนัง ซีรี่ส์หรือรายการต่าง ๆ มาฉาย แต่เขามองว่าโมเดลนี้อาจไม่เวิร์กในระยะยาว เพราะมันเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจ ไม่มีคอนเทนต์เป็นของตัวเอง ต้องซื้อลิขสิทธิ์มาขาย พึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา ถ้าวันหนึ่งเจ้าของลิขสิทธิ์อยากเพิ่มราคา หรือไม่ให้เช่าแล้ว Netflix ก็จะจบอย่างง่ายได้ จึงเป็นที่มาของการสร้าง Content เป็นของตัวเอง หรือ Netflix Original โดยเรื่องแรกคือ Orange is the New Black เรื่องของคนคุกหญิง หรือเรื่อง House of Cards แสดงนำโดย Kevin Spacey


โมเดลนี้หลาย ๆ ค่ายเริ่มทำตาม เช่น HBO ก็ทำ Games Of Throne ซึ่งการที่ Netflix มีรายการเยอะ เขามองว่าเขาเองไม่ได้อยากมีโมเดลที่ทำหนังขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มแมส ทำแล้วทุกคนต้องอยากดู ชอบ หรือสนใจ แต่เป็นการจับกลุ่ม Niche หลาย ๆ กลุ่มเข้าด้วยกัน


นอกจาก Netflix จะมีการตลาดแบบแปลก ๆ ในแง่ของการคิดคอนเทนต์

 อีกสิ่งที่พัฒนาคือการคือ Interface หรือ Design หน้าจอที่ง่ายต่ออุปกรณ์แบบต่าง ๆ ช่วงประมาณปี 2016 มีการปรับปรุง Interface จากภาพโปสเตอร์หนังธรรมดาให้กลายเป็น Poster ที่เป็นภาพเคลื่อนไหว มีตัวอย่างหนังที่เมื่อเอาเมาส์ไปวางก็จะสามารถดูตัวอย่างหนังได้เลย เหตุผลเพราะเขาต้องการให้คนไม่ต้องกดดูและรอโหลดก่อน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าสนุกหรือเปล่า การที่คนแค่เอาเมาส์ไป scroll แล้วเดาได้เลยว่าหนังนี้น่าจะเป็นหนังแนวที่ชอบ ก็ช่วยเพิ่มยอดวิว ทำให้คนสนใจและดู Netflix ได้มากขึ้น


เคยมีคนสัมภาษณ์ว่าคู่แข่งของ Netflix คืออะไร คำตอบคือ การนอน เพราะการนอนจะทำให้ไม่ได้ดู Netflix ดังนั้นเขาอยากทำการตลาดยังไงก็ได้ ให้คนดูไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องนอน ซึ่งการปรับ Interface เป็นการทำให้คนสนใจดูไปเรื่อย ๆ แบบ Continue


เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราทราบได้ว่า Netflix มีการพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมาจากการคิดคำนึงถึงความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการ ดังนั้นในปัจจุบันนี้ Netflix จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

กำลังโหลดหน้าเว็บ
Line logo