สำหรับการแต่งหน้านั้น ไอเทมสำคัญที่ต้องมีเลยก็คือแปรงแต่งหน้านั่นเอง

ซึ่งแปรงก็มีความแตกต่างกัน ดังนั้นวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับแปรงหน้าว่ามีแบบไหนและใช้อย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย

แปรงขนสัตว์ หรือ ขนสังเคราะห์ต่างกันอย่างไร?

ขนแปรงแต่งหน้ามีทั้งแบบที่ทำมาจากขนสัตว์ และทำจากขนสังเคราะห์ ซึ่งแปรงแต่งหน้าขนสัตว์นั้นส่วนใหญ่จะทำมาจากขนกระรอก ขนแพะ ขนม้าแคระ หรือขนตัว Badger ความพิเศษของแปรงจากขนสัตว์คือ บริเวณขนจะมีเกล็ดขนเป็นชั้น ๆ ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ลักษณะคล้ายเกล็ดเส้นผมของเรา ซึ่งเกล็ดที่ว่านี้จะช่วยจับผงของเครื่องสำอางได้เป็นอย่างดี เหมาะกับการใช้เครื่องสำอางแบบฝุ่น เช่น อายแชโดว์ บลัชออน และแป้งฝุ่น ในส่วนของแปรงแต่งหน้าขนสังเคราะห์นั้นเป็นแปรงชนิดนี้ทำขึ้นเพื่อเลียนแบบแปรงขนสัตว์ แต่ยังไม่สามารถทำให้ขนแปรงมีเกล็ดขนเช่นเดียวกับแปรงขนสัตว์ได้ ข้อดีของแปรงชนิดนี้คือมีเส้นใยที่เรียงตัวอัดแน่นกัน ทำให้แปรงมีความเหนียว ยืดหยุ่น ไม่เสียรูปง่าย ด้วยความที่ไม่มีเกล็ดขน ทำให้ความสามารถในการจับผงเครื่องสำอางทำได้ไม่ดีเท่าขนสัตว์ แต่เหมาะสำหรับใช้กับผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือน้ำ เช่น รองพื้น คอนซีลเลอร์ และอายไลเนอร์เนื้อเจล

ประเภทของแปรงแต่งหน้าจะสามารถแบ่งได้เป็น 6 ประเภทคือ

1.Foundation Brush

เป็นแปรงแต่งหน้าสำหรับลงรองพื้นและคอนซีลเลอร์ มีหลากหลายรูปแบบมาก วิธีสังเกตง่าย ๆ ว่าแปรงลงรองพื้นแบบไหน ควรใช้อย่างไร ให้สังเกตที่หัวแปรง เริ่มตั้งแต่แปรงหัวแบน เป็นแปรงที่ได้รับความนิยมในการลงรองพื้น เพราะสามารถใช้ได้ทั่วใบหน้า หัวแปรงหนาทำให้กินเนื้อรองพื้นอยู่บ้าง มีข้อดีคือเกลี่ยง่ายและรวดเร็ว ควรใช้แบบลากสั้น ๆ บนผิว ไม่ควรลากยาวไปทั้งหน้า เพราะจะทำให้รองพื้นเป็นเส้นได้ ต่อมาคือแปรงแต่งหน้าหัวตัด เหมาะแก่การลงรองพื้นแบบ Tap เบา ๆ ที่ผิวหน้า เพื่อให้ลุคบางเบาเป็นธรรมชาติ และยังมีแปรงหัวตัดแบบเฉียง แปรงแบบนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการควบคุมทิศทาง หรือต้องการลงผลิตภัณฑ์ให้เป็นเส้นชัดเจน เช่น ลงคอนซีลเลอร์บริเวณใต้คิ้ว

2. Powder Brush

เป็นแปรงแต่งหน้าสำหรับลงแป้ง แปรงที่นิยมใช้มากที่สุดคือแปรงทรงพุ่ม มีลักษณะกลม ถือว่าเป็นแปรงยอดนิยม เพราะสามารถใช้ได้ทั้งกับแป้ง บลัชออนและบรอนเซอร์ ด้วยความที่แปรงมีขนาดใหญ่ ทำให้บางจุดบนใบหน้าอาจเข้าไม่ถึง จึงมีแปรงขนาดเล็ก สำหรับลงแป้งเฉพาะจุดอย่างปีกจมูกและสามารถนำไปลงเฉดดิ้งสันจมูกได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีแปรงปัดหัวเฉียงสำหรับลงบรอนเซอร์ และแปรงปัดรูปพัดใช้สำหรับปัดแป้งส่วนที่เกินออกจากใบหน้า เพื่อไม่ให้แป้งดูหนาจนเกินไปนั่นเอง

3. Cheek Brush

เป็นแปรงแต่งหน้าสำหรับปัดแก้ม มีวิธีการเลือกใช้งานที่คล้ายกับแปรงสำหรับลงแป้งเลย แปรงแต่งหน้าชนิดนี้นอกจากใช้ลงแก้มแล้วยังสามารถใช้ลงบรอนเซอร์ได้อีกด้วย แปรงที่เป็นทรงพุ่ม ๆ เหมาะแก่การปัดบลัชออนให้ดูฟุ้ง ๆ ในขณะที่ถ้าปลายแปรงเป็นหัวตัดแบบเฉียงจะง่ายต่อการลงทั้งบลัชออนและบรอนเซอร์ เพราะมุมของแปรงรับกับรูปหน้า สามารถกำหนดทิศทางของสีได้ง่าย

4. Eyeshadow Brush

แม้ตาจะเป็นจุดเล็ก ๆ บนใบหน้า แต่แปรงสำหรับทาตาก็มีหลากหลายรูปแบบมาก โดยสามารถแบ่งออกได้ง่าย ๆ 2 ประเภท คือ แปรงสำหรับปัดและแปรงสำหรับเกลี่ยสี แปรงปัดหัวแบนเริ่มตั้งแต่ไซส์ใหญ่สุดเหมาะกับการลงสีที่เบ้าตาเป็นบริเวณกว้าง ขนาดกลางใช้ลงสีเฉพาะส่วน เช่น บริเวณกลางตา และขนาดเล็ก นิยมใช้ลงสีในที่แคบอย่างบริเวณหัวตา หรือส่วนที่ใกล้โคนขนตา ส่วนแปรงสำหรับเกลี่ยสีนั้นนิยมใช้ทรงพุ่มขนาดใหญ่และแปรงทรงกระบอก มักใช้ในขั้นตอนสุดท้ายของการแต่งตา นอกจากนี้ยังมีแปรงแบบหัวกลมทรงสั้น เหมาะสำหรับการเกลี่ยอายแชโดว์บริเวณหางตาอีกด้วย

5. Lash and Eyebrow Comb

ในขั้นตอนการเขียนคิ้วนั้นนิยมการใช้แปรงหัวตัดแบบเฉียงเนื่องจากทำให้สามารถควบคุมทิศทางของสีได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์อื่น ๆ สำหรับเขียนคิ้ว อย่างแปรงปัดขนคิ้วที่ช่วยให้ขนคิ้วจัดทรงสวยได้รูป และยังช่วยเบลนด์สีคิ้วให้ดูเป็นธรรมชาติด้วย นอกจากนี้ยังมีแปรงสำหรับหวีจัดแต่งขนคิ้วหรือขนตา แปรงประเภทนี้จะมีรูปร่างคล้ายกับหวีอันเล็ก ๆ ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 ด้าน คือด้านที่เป็นแปรงนุ่ม ๆ สำหรับไว้แปรงขนคิ้ว และอีกด้านที่มีลักษณะเหมือนหวี เอาไว้สำหรับแปรงขนตา

6. Lips Brush

แปรงสำหรับทาลิปนั้นแบ่งได้ใหญ่ ๆ เป็น 2 ประเภทคือ แปรงหัวกว้าง นิยมใช้ทาริมฝีปาก เพราะสามารถทากลบร่องริมฝีปากได้ง่ายและรวดเร็ว แปรงอีกประเภทหนึ่งคือ แปรงหัวเล็ก นิยมนำมาวาดเส้นขอบปาก และยังสามารถใช้ปัดลิปสติกที่เลอะออกได้ด้วย การทาลิปลงไปบนริมฝีปากตรง ๆ กับใช้แปรงนั้น มีความแตกต่างระหว่างการกันคือ เส้นจะคมกว่า สามารถกำหนดขอบเขตของสีได้ดีกว่า เหมาะสำหรับวันที่ต้องการเน้นรูปปากแบบชัดเจน

ได้รู้จักกับแปรงแต่งหน้ากันมากขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ ดังนั้นเวลาแต่งหน้าก็ควรเลือกใช้แปรงให้ถูกต้อง เพื่อให้การแต่งหน้าง่ายขึ้นนั่นเอง